

การผจญมาร
ความเป็นมา
ในวันที่พระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้นั้น ได้ประทับนั่งบนบัลลังก์หญ้าคา ที่โสตถิยะพราหมณ์ถวายใต้ต้นมหาโพธิ์นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า “แม้เลือดเนื้อในสรีระทั้งสิ้นจะเหือดแห้งไป เหลือแต่เอ็นกระดูกเท่านั้นก็ตามที เรายังไม่บรรลุสัมธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้” ดังนี้ ต่อจากนั้นจึงได้ประทับนั่งและทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต
ขณะนั้นเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน จอมมารที่ชื่อว่า สวัดคี ที่คอยขัดขวางการทำความดีของพระองค์ตลอดมาเมื่อทราบว่าพระดำริปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์เช่นนั้น ก็เกิดหวั่นเกรงว่า หากปล่อยให้บรรลุความสำเร็จตามปณิธานแล้ว พระองค์ก็จะพ้นอำนาจของตนไป จึงได้ระดมพลเสนามารทั้งหลายมาผจญเพื่อขับไล่ด้วยวิธีที่น่ากลัวต่างๆเช่น บันดาลให้พายุพัดรุนแรง บันดาลฝนให้ตกหนัก บันดาลให้ปรากฏเป็นอาวุธต่างระดมยิงเข้าไปเพื่อให้ตกต้องพระองค์แต่ว่าพระองค์ได้ทรงระลึกถึงความดีที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ที่เรียกว่า พระบารมี 10 ประการ จึงทรงมีพระทัยมั่นคง ไม่หวาดกลัวต่ออำนาจมารที่มาแสดงด้วยประการต่างๆ นั้นและยิ่งกว่านั้น กลับกลายเป็นเครื่องสักการบูชาพระองค์ไปหมดสิ้นพญามารได้แสดงทุรวาจาให้พระองค์ลุกหนีออกไปเสีย โดยแสดงว่าบัลลังก์ที่ประทับนั้นเป็นของพญามารเอง เพราะพญามารก็ได้บำเพ็ญบารมีต่างๆมามากมายโดยอ้างเสนามารทั้งหลายเป็นพยาน เสนามารเหล่านั้นก็ร้องกึกก้องสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกันในเวลานั้นพระโพธิสัตว์ไม่มีเสนาหรือใครอื่นที่จะอ้างมาเป็นพยาน จึงได้ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาชี้ลงไปที่แม่พระธรณีเป็นพยานเพระได้ทรงบำเพ็ญทานต่างๆเป็นอันมากและในการให้ทานทุกครั้งก็ได้ทรงหลั่งทักษิโณทก(หยาดน้ำ)ลงบนที่แผ่นดินซึ่งโดย บุคลาธิฏฐานก็เหมือนดังตนลงไปบนมวยผมของแม่พระธรณี เพราะฉะนั้นแม่พระธรณีจึงเท่ากับเป็นพยานในการทรงบริจาคทาน จึงได้ปรากฏเป็นนางธรณีบีบมวยผม ซึ่งชุ่มด้วยน้ำหลั่งออกมามากมายกลายเป็นทะเลหลวง ท่วมพญามารและเสนาทั้งหลาย ช้างคีรีเมขลาซึ่งพญามารบัญชาการอยู่นั้นก็ฟุบเท้าหน้าทั้งสองลงเป็นการถวายนมัสการพระพุทธองค์ พญามารพร้อมทั้งเสนามารจึงแตกพ่ายถูกน้ำพัดพาไปหมดสิ้นจึงเป็นอันได้ทรงชนะมารก่อนพระอาทิตย์อัสดง และก็พอดีเป็นเวลาพบค่ำ จึงได้เริ่มบำเพ็ญความเพียรต่อไปและก็ได้บรรลุญาณทั้ง 3 ตามลำดับคือในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ความหยั่งรู้ในชาติภพก่อนๆกล่าวคือ ทรงระลึกชาติได้ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตณญาณ รู้จักกำหนดจุติและเกิด
ในปัจฉิมยาม ได้ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ญาณเป็นเหตุทำอาสวะให้หมดสิ้นไป โดยได้ตรัสรู้ อริยสัจ 4เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ยังประทับเสวยวิมุตติสุขที่โคนต้นมหาโพธิ์นั้นเป็นเวลา 7 วัน และสถานที่อื่นๆอีก แห่งละ 7 วัน และโดยเฉพาะเมื่อประทับเสวยวิมุติสุขที่โคนต้นไม้อชปาลนิโครธ มีเรื่องเล่าว่า พญามารมีความเศร้าโศกเสียใจที่ไม่สามารถเอาชนะพระพุทธเจ้าได้ จึงนั่งเป็นทุกข์อยู่ ธิดามารทั้ง 3 นางคือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี จึงได้มาอาสาที่จะนำพระพุทธเจ้ามาอยู่ในอำนาจให้ได้ แล้วก็เข้าไปที่โคนต้นอชปาลนิโครธที่ประทับ ทั้ง 3 นาง โดยแสดงเป็นสตรีเพศอยู่ในวัยต่างๆโดยคิดว่าบุรุษเพศย่อมชอบ ย่อมมีรสนิยมในสตรีเพศต่างวัยกัน จึงได้มาแสดงเป็นสตรีเพศวัยรุ่นบ้าง วัยกลางคนบ้าง เป็นวัยแม่ลูกอ่อนบ้าง หมายมั่นที่จะให้พระองค์พอพระทัย แต่พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงพระวาจาประกาศความเป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่ข้องแวะด้วยตัณหา ราคะและอรดี ทั้งมวลไม่ทรงสนพระทัยแม้แต่น้อยธิดามารทั้ง 3 ก็พ่ายแพ้ไปอีก จึงเป็นอันพระองค์ทรงชนะมารโดยเด็ดขาด
บทวิเคราะห์
คำว่า “มาร” ในพระพุทธศาสนา หมายถึง สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดี สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดีหรือเป็นผู้กำจัด ขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุผลสำเร็จอันดีงาม ประกอบด้วย
1. กิเลสมาร หมายถึง การที่ยั่วยุให้คิดในกามคุณ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ซึ่งมีได้ทั้งด้านที่จิตใจไปคิดในกามคุณ และการตกแต่งวัตถุเนื้อหนังให้สวยงามจนเกิดความหลงติดใจ
2. ขันธมาร หมายถึง หมายถึง มารคือขันธ์ 5 เป็นความหลงในสภาพที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เช่น หลงตนเอง หรือการไปทำศัลยกรรมตกแต่งร่างกายตนเอง ทำให้ตัดโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่บำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา หรืออาจพลาดโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง
3. อภิสังขารมาร หมายถึง มารที่ขัดขวางมิให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎ มีเจตนาชั่ว
4. เทวปุตตมาร หมายถึง มารคือเทพบุตร คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักนำให้ห่วงพะวงในกามสุข ไม่อาจหายเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่
5. มัจจุมาร หมายถึง มารคือ ความตาย เพราะความตายเป็นตัวการตัดโอกาสที่จำให้ทำความดีงามทั้งหลายได้ มารมีวิธีปฏิบัติการสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่ การล่อลวงและการจองจำเป้าหมายก็คือ การล่อลวงหรือจองจำจิตวิญาณของมนุษย์ให้ลุ่มหลงมัวเมา ตกเป็นทาสของมารในที่สุด
ดังนั้น มารที่พระพุทธองค์ได้พบ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เกิดขึ้นมาจากมารทั้ง 4 ข้อแรก คือ กิเลสมาร ขันธมารอภิสังขารมารและ
เทวปุตตมาร แต่มารที่ทำ หน้าที่เด่นที่สุด คือ กิเลสมารที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์ ซึ่งจะเป็นตัวขัดขวางมิให้พระองค์ตรัสรู้ได้ อันได้แก่ การต่อสู้ทางความคิดของพระองค์ระหว่างกิเลสกับธรรมะด้านหนึ่งมุ่งบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกด้านหนึ่งยังคิดถึงความสะดวกสบายในอดีตกาลและความทุกข์ทรมานในการบำเพ็ญเพียร กิเลสมารทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านที่เป็นอารมณ์น่าปรารถนา (อิฎฐารมณ์)ได้แก่ความยินดีความลุ่มหลงเพลิดเพลินอยู่กับความสุขสบายในขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นต้น อีกด้านหนึ่งคืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา(อนิฎฐารมณ์) ได้แก่ ความไม่สบายใจ ความขัดเคืองใจ ความย่อท้อ ความทุกข์ยากลำบากในการบำเพ็ญเพียรมาต่างๆ
นอกจากนั้นพระองค์ต้องเผชิญกับกิเลสมารจากธิดามารทั้ง 3 คือ นางราคา(มีลักษณะยั่วยวน) นางตัณหา(มีลักษณะสาวพราวเสน่ห์)และนางอรดี(มีลักษณะสาวอารมณ์ร้อน) ดังนั้นจะเห็นว่าพระองค์จะต้องต่อสู้กับจิตใจของพระองค์เองในการให้วิธีปฏิบัติการของมารจากการล่อลวง ไม่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
ดังนั้นการชนะมารของพระองค์เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือชัยชนะที่มีต่อความคิดของตนเองจนถึงขั้นหลุดพ้น เป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวงและบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุดพระพุทธองค์แสดงเป็นตัวอย่างได้เห็นว่า “มนุษย์สามารถเอาชนะกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของตนได้”ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่